แฮปปี้เบิร์ธคลินิกสูตินรีเวช
รู้จักอาการของโรคช็อกโกแลตซีสต์ โรคที่ผู้หญิงเสี่ยงทุกคน
อัปเดตเมื่อ 13 ส.ค.
เมื่อพูดถึงช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) จะต้องมีสาว ๆ หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นอันเดียวกับซีสต์ที่รังไข่ที่พบได้ทั่ว ๆ ไปแน่นอน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูก หรือผิดสักทีเดียวค่ะ เพราะช็อกโกแลตซีสต์เป็นซีสต์ประเภทหนึ่งที่สามารถพบได้ที่รังไข่นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ช็อกโกแลตซีสต์นั้นเป็นประเภทของซีสต์ที่เกิดจากความผิดปกติ ซึ่งจะแตกต่างจากซีสต์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติที่สามารถหายได้เองค่ะ ด้วยเหตุนี้เราจึงควรให้ความสำคัญกับการรักษาซีสต์ชนิดนี้มาก ๆ เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตได้ค่ะ

ทำไมผู้หญิงถึงเสี่ยงเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์
สาเหตุที่ผู้หญิงทุกคนเสี่ยงเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์ นั่นก็เพราะว่า ทางการแพทย์เชื่อว่าเกิดจากการที่มีประจําเดือนส่วนหนึ่งไหลย้อนกลับเข้าไปในอุ้งเชิงกรานผ่านทางท่อนําไข่ แล้วไปฝังตัวที่รังไข่จนทำให้เกิดถุงน้ำที่มีเลือดคั่งจนกลายสีน้ำตาล หรือก็คือช็อกโกแลตซีสต์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้หญิงที่มีประจำเดือนทุกคนมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นช็อกโกแลตซีสต์นั่นเองค่ะ
โรคช็อกโกแลตซีสต์ คืออะไร?
โรคช็อกโกแลตซีสต์ คือ ซีสต์รังไข่ประเภทหนึ่งที่เกิดจากถุงน้ำในรังไข่มีความผิดปกติค่ะ ซึ่งไม่สามารถหายได้เอง จำเป็นที่จะต้องรักษาอย่างถูกวิธีค่ะ
โรคช็อกโกแลตซีสต์ เกิดจากสาเหตุใด?
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ทางการแพทย์เชื่อว่าเกิดจากการที่มีประจำเดือนส่วนหนึ่งไหลย้อนกลับไปฝังตัวอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในอุ้งเชิงกราน และรังไข่ แล้วเจริญเติบโตจนกลายเป็นถุงน้ำค่ะ โดยเมื่อระยะเวลาผ่านไปก็จะมีเลือดเข้าไปสะสมอยู่ในถุงน้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ และตกค้างอยู่นาน ๆ จนมีสีน้ำตาลเข้มคล้ายกับสีของช็อกโกแลต จึงเรียกถุงน้ำเป็นประเภทนี้ว่า ช็อกโกแลตซีสต์ค่ะ
โรคช็อกโกแลตซีสต์ อาการเป็นอย่างไร?
สาว ๆ เป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์ มักจะมีอาการดังต่อไปนี้ค่ะ
ปวดท้องมากผิดปกติในช่วงที่มีประจำเดือน และจะปวดเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ เดือน
มีประจำเดือนมาถี่กว่าปกติ โดยจะมีประจำเดือนมากผิดปกติ หรือเป็นนานกว่า 7 วัน
ปัสสาวะบ่อยขึ้นกว่าเดือน
อุจจาระและปัสสาวะเป็นเลือดในช่วงที่เป็นประจำเดือน
ปวดไมเกรนเป็นประจำ
คลำพบก้อนแข็งบริเวณท้องน้อย
เป็นคนผอมแต่มีพุง อาจเกิดจากการที่มีถุงน้ำขนาดใหญ่เกิดขึ้นภายในท้อง
หากสาว ๆ มีอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์จริง ๆ หรือไม่ เพื่อที่จะได้รับการรักษาที่เร็วที่สุด ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะจะทำให้ซีสต์มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้ยากต่อการรักษาได้ค่ะ
สำหรับสาว ๆ ท่านใดที่ต้องการตรวจและรักษาโรคช็อกโกแลตซีสต์ สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 081-442-9355 (ตามเวลาทำการคลินิก) และทักแชทเฟสบุ๊กเพจ happybirth กับหมอชะเอม ได้เลยค่ะ จะเจ้าหน้าที่ของเราคอยให้บริการอยู่ ที่สำคัญคลินิกของเราตรวจภายในโดยคุณหมอผู้หญิงที่ใจดีมาก ๆ ไม่ต้องกลัวเขินอายค่ะ ทักมาได้ตลอดเลยนะคะ ☺️

โรคช็อกโกแลตซีสต์ อันตรายไหม?
โรคช็อกโกแลตซีสต์อันตรายและส่งผลกระทบต่อสุขภาพมาก ๆ ค่ะ เพราะของเหลวที่อยู่ในถุงน้ำอาจแตกและกระจัดกระจายออกไปทั่วบริเวณอุ้งเชิงกราน และก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ ซึ่งจะทำให้เกิดพังผืดในอุ้งเชิงกรานจนเข้าไปอุดตันในท่อนําไข่ได้ค่ะ นอกจากนี้ยังอาจทำให้มีอาการปวดท้องมากเฉียบพลันได้ด้วย ซึ่งในบางรายอาจปวดท้องมากจนเป็นลมหมดสติไปเลย หรือถ้าของเหลวไปเกาะอยู่ตามลำไส้ก็อาจทำให้ลำไส้อุดตันได้อีกด้วยค่ะ
วิธีดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์
การดูแลตนเองที่ดีที่สุดเมื่อรู้ว่าตัวเองมีอาการเสี่ยงที่จะเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์ ก็คือการรีบไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมค่ะ ซึ่งมีทั้งวิธีการรักษาด้วยยา และการผ่าตัด ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไหร่ ถุงน้ำก็จะยิ่งมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ

เป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์มีลูกได้ไหม?
สาว ๆ ที่เป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์ในระยะแรกเริ่ม หากเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะยังสามารถมีลูกด้วยวิธีการทางธรรมชาติได้ค่ะ เพียงแค่จะมีได้ยากกว่าคนทั่วไปเท่านั้น แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานจนเกิดการอุดตันที่ท่อนำไข่ก็จะทำให้ไข่กับสเปิร์มไม่สามารถผสมกันได้ ถ้าอยากมีลูกก็จำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีเจริญพันธ์ุมาช่วยแทน เช่น การทำ IVF หรือ ISCI ค่ะ เพื่อความถูกต้องชัดเจนที่สุด ๆ สาว ๆ สามารถพาแฟนมาตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ที่แฮปปี้เบิร์ธคลินิกได้นะคะ โดยคุณหมอของเราจะช่วยตรวจสุขภาพและตรวจหาภาวะมีบุตรยากให้กับทั้งสามีภรรยาเลย จะได้รู้ว่าควรตั้งครรภ์ด้วยวิธีใดถึงจะดีที่สุด
สรุปค่ะ 😊
จะเห็นได้ว่า ช็อกโกแลตซีสต์เป็นถุงน้ำในรังไข่ที่มีความอันตรายมากกว่าที่คิด ถ้าสาว ๆ ปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจทำให้ซีสต์มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดอาการปวดท้องเฉียบพลัน หรืออาจรุนแรงไปจนถึงขั้นเกิดการอุดตันที่ท่อนำไข่ ซึ่งจะส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในอนาคตได้เลย ดังนั้นหากสาว ๆ พบว่าตนเองมีอาการที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคนี้ ก็ควรที่รีบจะไปพบสูตินรีแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อรักษาให้หายขาดจะดีที่สุดค่ะ