เมื่อพูดถึงช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) จะต้องมีสาว ๆ หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นอันเดียวกับซีสต์ที่รังไข่ที่พบได้ทั่ว ๆ ไปแน่นอน ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูก หรือผิดสักทีเดียวค่ะ เพราะช็อกโกแลตซีสต์เป็นซีสต์ประเภทหนึ่งที่สามารถพบได้ที่รังไข่นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ช็อกโกแลตซีสต์นั้นเป็นประเภทของซีสต์ที่เกิดจากความผิดปกติ ซึ่งจะแตกต่างจากซีสต์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติที่สามารถหายได้เอง อีกทั้งยังทำให้เกิดอาการผิดปกติต่าง ๆ ตามมา เช่น ปวดท้องมากผิดปกติในช่วงที่มีประจำเดือน มีประจำเดือนมากผิดปกติ ปวดไมเกรน คลำเจอก้อนที่ท้องน้อย หรือมีภาวะมีบุตรยาก ด้วยเหตุนี้เราจึงควรให้ความสำคัญกับการรักษาซีสต์ชนิดนี้มาก ๆ เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ก็อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตได้ค่ะ
บทความนี้ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. ฐิติพรรณ ชยวงศ์รุ่งเรือง (คุณหมอชะเอม)
ทำไมผู้หญิงถึงเสี่ยงเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์
สาเหตุที่ผู้หญิงทุกคนเสี่ยงเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์ นั่นก็เพราะว่า ทางการแพทย์เชื่อว่าเกิดจากการที่มีประจําเดือนส่วนหนึ่งไหลย้อนกลับเข้าไปในอุ้งเชิงกรานผ่านทางท่อนําไข่ แล้วไปฝังตัวที่รังไข่จนทำให้เกิดถุงน้ำที่มีเลือดคั่งจนกลายสีน้ำตาล หรือก็คือช็อกโกแลตซีสต์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้หญิงที่มีประจำเดือนทุกคนมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นช็อกโกแลตซีสต์นั่นเองค่ะ
โรคช็อกโกแลตซีสต์ คืออะไร?
ซีสต์ (Cyst) คือ ถุงน้ำที่สามารถเกิดขึ้นได้ในอวัยวะต่าง ๆ ตามร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ผิวหนัง กระดูก สมอง รวมไปถึงอวัยวะในระบบสืบพันธุ์เพศหญิงอย่างมดลูกและรังไข่ โดยโรคช็อกโกแลตซีสต์ คือ ซีสต์รังไข่ประเภทหนึ่งที่เกิดจากถุงน้ำในรังไข่มีความผิดปกติค่ะ ซึ่งไม่สามารถหายได้เอง จำเป็นที่จะต้องรักษาอย่างถูกวิธีค่ะ
โรคช็อกโกแลตซีสต์ เกิดจากสาเหตุใด?
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่ทางการแพทย์เชื่อว่าเกิดจากการที่มีประจำเดือนส่วนหนึ่งไหลย้อนกลับไปฝังตัวอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในอุ้งเชิงกราน และรังไข่ แล้วเจริญเติบโตจนกลายเป็นถุงน้ำค่ะ โดยเมื่อระยะเวลาผ่านไปก็จะมีเลือดเข้าไปสะสมอยู่ในถุงน้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ และตกค้างอยู่นาน ๆ จนมีสีน้ำตาลเข้มคล้ายกับสีของช็อกโกแลต จึงเรียกถุงน้ำเป็นประเภทนี้ว่า ช็อกโกแลตซีสต์ค่ะ
โรคช็อกโกแลตซีสต์ อาการเป็นอย่างไร?
สาว ๆ เป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์ มักจะมีอาการดังต่อไปนี้ค่ะ
ปวดท้องมากผิดปกติในช่วงที่มีประจำเดือน และจะปวดเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ เดือน
มีประจำเดือนมาถี่กว่าปกติ โดยอาจมีมากกว่า 2 รอบต่อเดือน
มีประจำเดือนมากผิดปกติ หรือเป็นนานกว่า 7 วัน
ปัสสาวะบ่อยขึ้นกว่าเดือน
อุจจาระและปัสสาวะเป็นเลือดในช่วงที่เป็นประจำเดือน
มีอาการปวดมากเวลาขับถ่าย
ปวดไมเกรนเป็นประจำ
คลำพบก้อนแข็งบริเวณท้องน้อย
เป็นคนผอมแต่มีพุง อาจเกิดจากการที่มีถุงน้ำขนาดใหญ่เกิดขึ้นภายในท้อง
ปวดเสียดในช่องท้อง
มีอาการปวดหลัง ปวดร้าวลง
มีอาการลำไส้แปรปรวน ท้องอืด และท้องเสีย
มีภาวะมีบุตรยากจากท่อนำไข่ตีบตัน ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากการมีช็อกโกแลตซีสต์ ทำให้รังไข่มีพื้นที่ในการผลิตไข่และสร้างฮอร์โมนน้อยลง
หากสาว ๆ มีอาการต่อไปนี้ ควรรีบไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์จริง ๆ หรือไม่ เพื่อที่จะได้รับการรักษาที่เร็วที่สุด ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะจะทำให้ซีสต์มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้ยากต่อการรักษาได้ค่ะ
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นช็อกโกแลตซีสต์?
การตรวจวินิจฉัยช็อกโกแลตซีสต์ สามารถทำได้โดยการตรวจอัลตราซาวด์มดลูกและรังไข่ (TVS) ซึ่งเป็นการตรวจทางสูตินรีเวชที่ช่วยให้ทราบถึงอาการช็อกโกแลตซีสต์ได้ รวมถึงอาการอื่น ๆ ที่เกิดในอุ้งเชิงกราน เช่น กลุ่มอาการ PCOS, ประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดท้องน้อย เนื้องอกในรังไข่ มดลูก หรือเยื่อบุโพรงมดลูก หรือก้อนเนื้อภายในอุ้งเชิงกรานได้ค่ะ
แล้วถ้าไม่มีอาการช็อกโกแลตซีสต์ยังจำเป็นต้องตรวจไหม? คำตอบก็คือ สาว ๆ ทุกคนควรตรวจภายในและตรวจอัลตราซาวด์มดลูกและรังไข่เป็นประจำค่ะ ถ้าหากคุณหมอตรวจพบความผิดปกติ จะได้วางแผนการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาด้วยค่ะ
สำหรับสาว ๆ ท่านใดที่ต้องการตรวจและรักษาโรคช็อกโกแลตซีสต์ สามารถติดต่อนัดหมายได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 081-442-9355 (ตามเวลาทำการคลินิก) และทักแชทเฟสบุ๊กเพจ happybirth กับหมอชะเอม ได้เลยค่ะ จะเจ้าหน้าที่ของเราคอยให้บริการอยู่ ที่สำคัญคลินิกของเราตรวจภายในและตรวจอัลตราซาวด์มดลูกและรังไข่โดยคุณหมอผู้หญิงที่ใจดีมาก ๆ ไม่ต้องกลัวเขินอายค่ะ ทักมาได้ตลอดเลยนะคะ ☺️
โรคช็อกโกแลตซีสต์ อันตรายไหม?
โรคช็อกโกแลตซีสต์อันตรายและส่งผลกระทบต่อสุขภาพมาก ๆ ค่ะ เพราะของเหลวที่อยู่ในถุงน้ำอาจแตกและกระจัดกระจายออกไปทั่วบริเวณอุ้งเชิงกราน และก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ ซึ่งจะทำให้เกิดพังผืดในอุ้งเชิงกรานจนเข้าไปอุดตันในท่อนําไข่ได้ค่ะ
นอกจากนี้ยังอาจทำให้มีอาการปวดท้องมากเฉียบพลันได้ด้วย ซึ่งในบางรายอาจปวดท้องมากจนเป็นลมหมดสติไปเลย หรือถ้าของเหลวไปเกาะอยู่ตามลำไส้ก็อาจทำให้ลำไส้อุดตันได้อีกด้วยค่ะ
วิธีดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์
การดูแลตนเองที่ดีที่สุดเมื่อรู้ว่าตัวเองมีอาการเสี่ยงที่จะเป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์ ก็คือการรีบไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างเหมาะสมค่ะ ซึ่งมีทั้งวิธีการรักษาด้วยยา และการผ่าตัด ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะยิ่งปล่อยไว้นานเท่าไหร่ ถุงน้ำก็จะยิ่งมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ
เป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์ มีลูกได้ไหม
สาว ๆ ที่เป็นโรคช็อกโกแลตซีสต์ในระยะแรกเริ่ม หากเข้ารับการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ จะยังสามารถมีลูกด้วยวิธีการทางธรรมชาติได้ค่ะ เพียงแค่จะมีได้ยากกว่าคนทั่วไปเท่านั้น
แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานจนเกิดการอุดตันที่ท่อนำไข่ก็จะทำให้ไข่กับสเปิร์มไม่สามารถผสมกันได้ ถ้าอยากมีลูกก็จำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีเจริญพันธ์ุมาช่วยแทน เช่น การทำ IVF หรือ ISCI ค่ะ
เพื่อความถูกต้องชัดเจนที่สุด ๆ สาว ๆ สามารถพาแฟนมาตรวจสุขภาพก่อนตั้งครรภ์ที่แฮปปี้เบิร์ธคลินิกได้นะคะ โดยคุณหมอของเราจะช่วยตรวจสุขภาพและตรวจหาภาวะมีบุตรยากให้กับทั้งสามีภรรยาเลย จะได้รู้ว่าควรตั้งครรภ์ด้วยวิธีใดถึงจะดีที่สุด
รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคช็อกโกแลตซีสต์
นอกจากข้อมูลที่ควรรู้เกี่ยวกับโรคช็อกโกแลตซีสต์แล้ว แฮปปี้เบิร์ธคลินิกยังได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคนี้มาให้ด้วย สาว ๆ ที่ยังมีข้อสงสัยอยู่ สามารถดูคำถามและคำตอบได้เลยค่ะ
1. ซีสต์กับช็อกโกแลตซีสต์มีความแตกต่างกันอย่างไร?
ซีสต์ (Cyst) จะเป็นถุงน้ำที่สามารถเกิดขึ้นได้แทบทุกอวัยวะของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น ผิวหนัง กระดูก หรือสมอง แต่โดยส่วนใหญ่ เมื่อพูดถึงซีสต์ ทุกคนจะนึกถึงซีสต์ในรังไข่ (Cystic Ovary) ซึ่งเป็นหนึ่งในโรคทางนรีเวชที่พบมากในผู้หญิง
ช็อกโกแลตซีสต์นั้น เป็นหนึ่งในประเภทของซีสต์ในรังไข่ มีชื่อเรียกทางการว่า “Tumor like condition” เป็นถุงน้ำที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดปกติ โดยภายในถุงน้ำรังไข่จะมีของเหลวอยู่ภายใน ซึ่งเกิดจากการตกไข่ผิดปกติ ทำให้มีเลือดประจำเดือนคั่งค้างอยู่ในถุงน้ำจนกลายเป็นสีน้ำตาล และมีลักษณะเหมือนช็อกโกแลตนั่นเอง
2. จะรู้ได้ไงว่าเป็นช็อกโกแลตซีสต์?
คุณหมอจะทำการวินิจฉัยช็อกโกแลตซีสต์ด้วยการซักประวัติสุขภาพ ประวัติการมีประจำเดือน ตรวจร่างกาย ตรวจภายใน และอัลตราซาวด์มดลูกและรังไข่ค่ะ
3. ช็อกโกแลตซีสต์ หายเองได้ไหม?
ช็อกโกแลตซีสต์ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นหนึ่งในอาการของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ซึ่งไม่สามารถหายเองได้ จำเป็นที่จะต้องเข้ารับการรักษาด้วยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อป้องกันไม่ให้ช็อกโกแลตซีสต์มีขนาดใหญ่มากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายในอนาคตค่ะ
4. ช็อกโกแลตซีสต์ รักษายังไง?
หากช็อกโกแลตซีสต์มีขนาดไม่ใหญ่มาก คุณหมออาจรักษาด้วยการให้ยาแก้ปวด รวมกับยาคุมกำเนิดเพื่อลดการมีประจำเดือน แต่ถ้าใช้ยาแล้วไม่ดีขึ้น หรือช็อกโกแลตซีสต์มีขนาดใหญ่ หรือมีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดเอาช็อกโกแลตซีสต์ออกค่ะ
5. ช็อกโกแลตซีสต์มีขนาดกี่เซนติเมตรถึงต้องผ่าตัด?
หากช็อกโกแลตซีสต์ มีขนาด 4 - 5 เซนติเมตรขึ้นไป แพท์จะแนะนำให้ผ่าตัดเอาช็อกโกแลตซีสต์ออก เนื่องจากส่วนใหญ่ถุงน้ำเหล่านี้จะไม่สามารถยุบลงเองได้ค่ะ
6. ผ่าตัดช็อกโกแลตซีสต์ต้องพักฟื้นกี่วัน?
ขึ้นอยู่กับวิธีการผ่าตัด โดยการผ่าตัดช็อกโกแลตซีสต์ด้วยวิธีส่องกล้อง จะต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลประมาณ 2-3 วัน ในขณะที่การผ่าตัดช็อกโกแลตซีสต์แบบเปิดหน้าท้อง จะต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล ประมาณ 3-4 วันค่ะ
7. ช็อกโกแลตซีสต์คือเนื้องอกไหม?
ไม่ใช่ ช็อกโกแลตซีสต์ คือถุงน้ำในรังไข่ที่มีลักษณะคล้ายเนื้องอกค่ะ
8. ซีสต์เป็นมะเร็งได้ไหม?
หากเป็นซีสต์ชนิดธรรมดา หรือ ฟังค์ชั่นนัล ซีสต์ (Functional Cyst) ซึ่งเกิดจากการทำงานตามปกติของรังไข่เพื่อสร้างไข่ที่เป็นเซลล์สืบพันธุ์ของผู้หญิง โดยทั่วไปจะสามารถยุบได้เอง และไม่ได้ทำให้เป็นมะเร็งค่ะ
แต่ถ้าเป็นซีสต์ประเภท Tumor like condition อย่างช็อกโกแลตซีสต์ หรือเนื้องอกถุงน้ำรังไข่ ก็มีแนวโน้มที่จะพัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ ด้วยเหตุนี้สาว ๆ จึงควรเข้ารับการตรวจภายในเป็นประจำทุกปี เพื่อที่จะได้รับมือกับโรคทางนรีเวชต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมค่ะ
9. เป็นช็อกโกแลตซีสต์ ถ้ามีลูกจะหายไหม?
ไม่หายค่ะ แต่สาเหตุที่คุณแม่ไม่รู้สึกปวดท้องประจำเดือน หรือรู้สึกว่าช็อกโกแลตซีสต์มีขนาดเล็กลง นั่นก็เพราะว่า ในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ หรือให้นมลูก จะเป็นช่วงที่ฮอร์โมนเพศต่ำมาก หรือไม่มีเลย ทำให้หยุดการเจริญเติบโตของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ได้ ซึ่งอาจส่งผลให้ถุงเลือดไม่โต หรือมีขนาดเล็กลง จนทำให้หลาย ๆ คนเข้าใจผิดว่าหายดีแล้วนั่นเอง
สรุปค่ะ 😊
จะเห็นได้ว่า ช็อกโกแลตซีสต์เป็นหนึ่งในอาการของถุงน้ำในรังไข่ที่มีความอันตรายมากกว่าที่คิด ถ้าสาว ๆ ปล่อยทิ้งไว้ ก็อาจทำให้ซีสต์มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เกิดอาการปวดท้องเฉียบพลัน หรืออาจรุนแรงไปจนถึงขั้นเกิดการอุดตันที่ท่อนำไข่ ซึ่งจะส่งผลต่อการตั้งครรภ์ในอนาคตได้เลย
ดังนั้นหากสาว ๆ พบว่าตนเองมีอาการที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคนี้ ก็ควรที่รีบจะไปพบสูตินรีแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อรักษาให้หายขาดจะดีที่สุด โดยที่แฮปปี้เบิร์ธคลินิก เราเป็นคลินิกสูตินรีเวชที่ดูแลโดยคุณหมอผู้หญิง และเจ้าหน้าที่ผู้หญิง มีความเป็นส่วนตัวสูง คนไม่พลุกพล่าน สามารถนัดหมายล่วงหน้าได้ สาว ๆ สามารถเข้ามาตรวจอย่างสบายใจได้เลยค่ะ
Comentarios