คลินิกสูตินรีเวช ฝากครรภ์ ตรวจภายใน อัลตราซาวด์
รามคำแหง 26/1 ลาดกระบัง 54
เจาะลึกการฉีดยาคุมกำเนิด ชนิด 1 เดือน และ 3 เดือน
การมีเพศสัมพันธ์เป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ และเติมเต็มความรู้สึกดี ๆ ให้กับชีวิตคู่ได้เป็นอย่างดี แต่ก็อาจนำมาซึ่งการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ สำหรับสาว ๆ คนไหนที่ยังไม่พร้อมจะมีลูก แล้วกำลังมองหาวิธีการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ และใช้งานยุ่งยาก “การฉีดยาคุมกำเนิด” อาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับคุณค่ะ
ฉีดยาคุมกำเนิด คืออะไร?
👩🏻⚕️ การฉีดยาคุมกำเนิด คือ การฉีดยาฮอร์โมนที่มีฤทธิ์ยับยั้งการตกไข่ และปรับระบบสืบพันธุ์ในร่างกายของเพศหญิงให้ยากต่อการปฏิสนธิมากขึ้น เช่น
-
เพิ่มระดับการบีบตัวของท่อนำไข่และตัวมดลูก
-
ทำให้โพรงมดลูกไม่พร้อมต่อการฝังตัว
-
ปรับความเหนียวข้นของสารมูกบริเวณปากมดลูกให้หนืดขึ้นจนเชื้ออสุจิเคลื่อนตัวเข้าไปทำการปฏิสนธิกับไข่ไม่ได้
-
ลดระดับการทำงานและจำนวนต่อมผลิตสารคัดหลั่งในเยื่อบุโพรงมดลูก
-
ลดการทำงานของถุงน้ำคอร์ปัสลูเทียม (Corpus Luteum) ที่ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนให้พร้อมต่อการตั้งครรภ์
ยาคุมกำเนิดชนิดฉีดนั้น จะนิยมฉีดที่ผิวชั้นกล้ามเนื้อ บริเวณต้นแขน สะโพก หน้าท้อง ต้นขา (ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์) มีให้เลือกอยู่ 2 แบบหลัก ๆ คือ ฉีดทุก 1 เดือน และฉีดทุก 3 เดือน โดยตัวยาจะค่อย ๆ เข้าสู่กระแสเลือกทีละน้อย เพื่อให้สามารถออกฤทธิ์ได้นานจนครบตามกำหนดระยะเวลา จึงนับเป็นอีกหนึ่งวิธีคุมกำเนิดที่มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพสูง
ฉีดยาคุมกำเนิดมีกี่ชนิด แตกต่างกันอย่างไร? 👶🏻
👩🏻⚕️ การยาฉีดคุมกำเนิดในปัจจุบัน จะมีให้เลือกฉีดอยู่ 2 แบบ คือ ฉีดทุก 1 เดือน และฉีดทุก 3 เดือน ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน ดังนี้
1. ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (ฉีดทุก 1 เดือน)
👩🏻⚕️ ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม หรือที่เรียกด้วยชื่อทางการค้าว่า “Cyclofem®” จะประกอบด้วยยา Estradiol cypionate 5 มิลลิกรัม และ Medroxyprogesterone acetate 25 มิลลิกรัม เป็นยาฉีดคุมกำเนิดที่ผลิตขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อด้อยของยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียว
ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมจะฉีดทุก ๆ 1 เดือน มีจุดเด่นตรงที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการมาของประจำเดือน ซึ่งช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ลงได้ แต่ไม่เหมาะกับคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตร เพราะจะทำให้น้ำนมแห้ง
2. ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียว (ฉีดทุก 3 เดือน)
👩🏻⚕️ ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียว จะใช้ยา Medroxy progesterone โดยยี่ห้อที่นิยมใช้มากที่สุดก็คือ Depo Medroxy Progesterone Acetate หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “DMPA (ดีเอมพีเอ)” ซึ่งจะฉีดทุก 12 สัปดาห์ หรือ 3 เดือน
ยาฉีดคุมเนิดชนิดฮอร์โมนโปรเจสตินอย่างเดียวนั้น จะมีข้อดีตรงที่มีระยะเวลาออกฤทธิ์นาน ไม่ต้องกลับมาฉีดบ่อย ๆ สามารถใช้ฉีดเพื่อรักษาโรคนรีเวชบางชนิด อย่างเช่น ภาวะเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ ปวดท้องประจำเดือน ประจำเดือนมาผิดปกติ (มามาก) หรือเหมาะกับบางท่านที่มีข้อห้ามใช้ฮอร์โมนรวม ขึ้นอยู่กับการประเมินของคุณหมอ
อย่างไรก็ตาม ยาฉีดคุมกำเนิดชนิดนี้ จะทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ มาน้อย หรืออาจขาดหายไปเลย ซึ่งอาจทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์โดยไม่รู้ตัวได้ เพื่อการดูแลตนเองอย่างถูกต้องและคลายความกังวลลง แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอจะดีที่สุดนะคะ
เปรียบเทียบการฉีดยาคุมกำเนิด 1 เดือน และ 3 เดือน ต่างกันอย่างไร?
เพื่อให้สาว ๆ สามารถเข้าใจความแตกต่างระหว่างการฉีดยาคุมกำเนิด 1 เดือน และ 3 เดือนมากขึ้น แฮปปี้เบิร์ธคลินิกได้ทำข้อมูลเปรียบเทียบมาให้แล้วค่ะ
ยาฉีดคุมกำเนิด 1 เดือน
-
ฉีดทุก ๆ 1 เดือน และฉีดภายใน 1-3 วันแรกของการมีประจำเดือน
-
เป็นฮอร์โมนรวม (เอสโตรเจนและโปรเจสติน)
-
ฉีดที่บริเวณต้นแขน
-
ไม่ส่งผลต่อการมีประจำเดือน
-
ไม่เหมาะกับคุณแม่ให้นมบุตร เพราะจะทำให้น้ำนมน้อย หรือแห้งได้
-
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป คือ อาการปวดศีรษะ และคัดตึงเต้านม
ยาฉีดคุมกำเนิด 3 เดือน
-
ฉีดทุก ๆ 3 เดือน และฉีดภายใน 1-3 วันแรกของการมีประจำเดือน
-
เป็นฮอร์โมนเดียว (โปรเจสติน)
-
ฉีดที่บริเวณสะโพก
-
สามารถทำให้ประจำเดือนไม่มาได้ แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
-
เหมาะสำหรับคุณแม่ให้นมบุตร
-
ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป อาจทำให้มีเลือดออกกระปริบกะปรอย และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้
ฉีดยาคุมกำเนิด ราคาเท่าไร?
สำหรับสาว ๆ คนไหนที่สนใจฉีดยาคุมกำเนิด สามารถนัดหมายเข้ามาพบคุณหมอที่แฮปปี้เบิร์ธคลินิกได้เลยค่ะ เราให้บริการยาคุมกำเนิดแบบฉีด ทั้ง 2 ชนิด มีอัตราค่าบริการดังนี้
-
ยาฉีดคุมกำเนิดทุก 1 เดือน (Cyclofem) ราคา 350 บาทต่อเข็ม
-
ยาฉีดคุมกำเนิดทุก 3 เดือน (DMPA) ราคา 250 บาทต่อเข็ม
ประสิทธิภาพของยาฉีดคุมกำเนิด
👩🏻⚕️ ยาฉีดคุมกำเนิด Cyclofem® จะมีโอกาสพลาดท้องอยู่ที่ 9% ในขณะที่ยาฉีดคุมกำเนิด DMPA มีโอกาสพลาดท้องอยู่ที่ 6%
นั่นหมายความว่า 100 คนที่ใช้วิธีนี้ใน 1 ปีจะท้อง 6 - 9 ราย ด้วยเหตุนี้จึงควรใช้ถุงยางอนามัยก่อนมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์
อย่างไรก็ตาม หากต้องการคุมกำเนิดแบบมีประสิทธิภาพสูง จะแนะนำให้ใช้การฝังยาคุม ซึ่งมีโอกาสพลาดท้องอยู่ที่ 0.05% หรือการใช้ห่วงคุมกำเนิด ที่มีโอกาสพลาดท้องอยู่ที่ 0.03% จะตอบโจทย์มากกว่าค่ะ
เปรียบเทียบข้อดี - ข้อเสียของการฉีดยาคุมกำเนิด
👩🏻⚕️ แม้ว่ายาฉีดคุมกำเนิดจะเป็นหนึ่งในวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ มีข้อดีหลายด้าน แต่ก็ข้อเสียด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนที่จะใช้ยาฉีดคุมกำเนิด คุณควรที่จะศึกษาข้อดีและข้อเสียของการฉีดยาคุมกำเนิดก่อน เพื่อที่จะได้ประเมินความคุ้มค่าและดูว่าเหมาะสมกับตนเองจริง ๆ ไหม
ข้อดีของการใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉีด
-
ใช้งานง่าย สะดวก ไม่ต้องมาฉีดบ่อย แตกต่างจากการกินยาคุมกำเนิดที่ต้องกินทุกวันไม่ให้ขาด
-
สามารถใช้ในคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตรได้ เพราะตัวยาไม่ส่งผ่านน้ำนม
-
สามารถเผื่อเวลาในการฉีดครั้งต่อไปได้ เพราะตัวยาจะมีระยะเวลาการออกฤทธิ์เหลื่อมกันประมาณ 1 - 2 สัปดาห์
-
สามารถใช้บรรเทาอาการปวดท้องประจำเดือนได้
-
สามารถลดโอกาสเกิดโรคประจำตัว และอาการผิดปกติร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน โรคมะเร็งรังไข่ โรคมะเร็งในเยื่อบุมดลูก หรือภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกราน เป็นต้น
ข้อเสียของการใช้ยาคุมกำเนิดแบบฉีด
-
ยาคุมกำเนิดแบบฉีดจะส่งผลต่อระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมาได้ เช่น รอยฝ้าบนผิดหน้า เป็นสิว ตึงคัดเต้านม ปวดศีรษะ อารมณ์แปรปรวน อารมณ์ทางเพศลดลง มวลกระดูกหนาแน่นน้อยลง และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น แต่อาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นเองหลังจากที่หยุดยา
-
รู้สึกเจ็บ เพราะต้องฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
-
ยาคุมกำเนิดแบบฉีดทุก 3 เดือน จะทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติ ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลต่อการตั้งครรภ์อยู่
-
เนื่องจากยาออกฤทธิ์นานจึงอาจทำให้ลืมนัดได้ แต่ถ้าฉีดที่แฮปปี้เบิร์ธคลินิก ไม่ต้องกังวล เพราะเรามีการแจ้งเตือนผ่าน SMS ก่อนวันนัดทุกครั้ง
-
ในบางรายยาอาจออกฤทธิ์ค่อนข้างนาน หากต้องการอยากมีลูก อาจต้องรอนานถึง 6 - 12 เดือน กว่าที่ร่างกายจะกลับมาพร้อมต่อการตั้งครรภ์อีกครั้ง
-
ไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ จึงควรใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง โดยเฉพาะในผู้ที่มีพฤติกรรมเปลี่ยนคู่นอนบ่อย หรือใช้บริการกับผู้ให้บริการทางเพศ
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากฉีดยาคุมกำเนิด
นอกจากผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไป เช่น ฝ้าหนา สิว อารมณ์แปรปรวน น้ำหนักตัวเพิ่ม คัดตึงเต้านม การใช้ยาฉีดคุมกำเนิดยังอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้ด้วย เช่น
-
เวียนศีรษะ
-
ปวดท้อง
-
ผมร่วง
-
ขนตามร่างกายขึ้นมากผิดปกติ
-
อ่อนเพลียง่าย รู้สึกไม่ค่อยมีแรง
-
อยากอาหารมากขึ้น
-
รู้สึกวิตกกังวลและซึมเศร้า
หากมีอาการผิดปกติเหล่านี้แล้วรู้สึกไม่สบายใจ หรือมีอาการรุนแรงมากจนส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และสุขภาพร่างกาย แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอเพื่อรับมือกับผลข้างเคียงของยา ซึ่งคุณหมออาจแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้การคุมกำเนิดรูปแบบอื่นที่เหมาะสมกับตนเองได้ค่ะ
การเตรียมตัวไปฉีดยาคุมกำเนิดที่แฮปปี้เบิร์ธคลินิก
การฉีดยาคุมกำเนิดเหมือนกับการฉีดวัคซีนทั่วไป ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเป็น ขอเพียงแค่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงดีก็สามารถเข้ารับการฉีดได้เลย อย่างไรก็ตาม ควรฉีดในช่วง 5 วันแรกของการมีประจำเดือน แต่ถ้าฉีดในช่วงอื่น แนะนำให้งดการมีเพศสัมพันธ์กันอย่างน้อย 7 วัน เพื่อป้องกันการใช้ยาฉีดกำเนิดขณะตั้งครรภ์โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์
สำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ที่กำลังจะคลอดลูก แล้วต้องการใช้ยาฉีดคุมกำเนิด ก็สามารถฉีดได้เลยเช่นกัน หรือจะฉีดภายใน 21 วันหลังคลอดบุตรก็ได้ แต่จะต้องปรึกษาคุณหมอให้เรียบร้อยก่อนนะคะ
รวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดยาคุมกำเนิด
นอกจากข้อมูลเกี่ยวกับยาคุมกำเนิดแบบฉีดที่ควรรู้แล้ว แฮปปี้เบิร์ธคลินิกยังได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการคุมกำเนิดด้วยวิธีนี้มาให้ด้วย ใครที่มีข้อสงสัยอยู่ สามารถดูคำถามและคำตอบได้ที่นี่เลยค่ะ
1. ฉีดยาคุมกำเนิดอ้วนไหม?
ผลข้างเคียงของยาฉีดคุมกำเนิด สามารถทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และอยากอาหารมากขึ้นได้ค่ะ
2. หลังหยุดยาคุมกำเนิดแบบฉีดสามารถตั้งครรภ์เลยได้ไหม?
ในบางรายจะยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ต้องรอให้ระบบต่าง ๆ ร่างกายค่อย ๆ ปรับตัวจนกลับมาเป็นปกติก่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ระยะเวลา 6 - 12 เดือน หากมีข้อสงสัย แนะนำให้ปรึกษาคุณหมอเพิ่มเติมค่ะ
3. ฉีดยาคุมกำเนิดหลั่งในได้ไหม?
การใช้ยาฉีดคุมกำเนิดไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% และไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ แนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้งจะปลอดภัยกว่านะคะ
4. ฉีดยาคุมกำเนิดท้องได้ไหม?
การใช้ยาฉีดคุมกำเนิดมีโอกาสพลาดท้องได้ โดยยาฉีดทุก 1 เดือนจะมีโอกาสพลาดท้อง 9% ส่วนยาฉีดทุก 3 เดือน จะมีโอกาสพลาดท้อง 6% ค่ะ
5. ฉีดยาคุมกำเนิดติดต่อกันนาน ๆ ได้ไหม?
สามารถใช้ยาฉีดคุมกำเนิดติดต่อกันได้ค่ะ แต่ควรตรวจสุขภาพร่างกายหรือตรวจภายในทุก ๆ 1 - 2 ปี เพื่อดูว่าร่างกายยังตอบสนองต่อฤทธิ์ยาได้ดีหรือเปล่า และมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายเกิดขึ้นกับร่างกายไหม
6. ฉีดยาคุมกำเนิดตอนไหน?
ควรฉีดในช่วง 1 - 5 วันแรกของการมีประจำเดือนจะดีที่สุด แต่ถ้าไม่สะดวก ควรงดการมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 7 วันก่อนฉีดค่ะ
7. ฉีดยาคุมกำเนิดกี่วันออกฤทธิ์?
ยาฉีดคุมกำเนิดจะออกฤทธิ์ได้เต็มประสิทธิภาพหลังจากที่ฉีดไปแล้ว 7 วัน หรือ 1 สัปดาห์ค่ะ
ตรวจสอบความถูกต้องโดย พญ. ฐิติพรรณ ชยวงศ์รุ่งเรือง (คุณหมอชะเอม)
รู้จัก 'แฮปปี้เบิร์ธ คลินิก'
'แฮปปี้เบิร์ธ' เป็นคลินิกเฉพาะทางด้านสูตินรีเวชเล็กๆ ที่หมอตั้งใจเปิดขึ้นเพื่อดูแลสุขภาพผู้หญิงทุกคนทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นสาวน้อยหรือสาวใหญ่ ว่าที่คุณแม่หรือคุณแม่เต็มตัว คุณป้าหรือคุณยาย ให้ "แฮปปี้" ทั้งร่างกายและจิตใจ ด้วยการดูแลให้คำปรึกษาและรักษาอย่างใกล้ชิดในบรรยากาศที่สบายๆ ตั้งแต่การตรวจสุขภาพ การรักษาโรคผู้หญิง การเตรียมพร้อมก่อนการตั้งครรภ์ การฝากครรภ์ การคลอด ไปจนถึงการดูแลหลังคลอด และวัยทอง
พญ. ฐิติพรรณ ชยวงศ์รุ่งเรือง (หมอชะเอม)
การศึกษา
- พบ. คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
- วุฒิบัตรแพทย์เฉพาะทางสูติศาสตร์นรีเวชวิทยา
ประสบการณ์ทำงาน
รพ. เจริญกรุงประชารักษ์ 2559 - 2562
รพ. สิรินธร 2562 - 2566
สรุปเรื่องการฉีดยาคุมกำเนิด
ยาคุมกำเนิดแบบฉีด เป็นอีกหนึ่งวิธีคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพ และสามารถนำมาใช้รักษาโรคนรีเวชบางชนิดได้ มีจุดเด่นในเรื่องของความคล่องตัว ไม่ต้องมาฉีดบ่อย ๆ ราคาไม่แพง เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ไม่สะดวกรับประทานยาคุมกำเนิดทุกวัน แต่ก็มีจุดด้อยตรงที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายได้หลายด้านค่ะ
สำหรับสาว ๆ คนไหนที่สนใจฉีดยาคุมกำเนิด ทั้งแบบ 1 เดือน และแบบ 3 เดือน สามารถนัดหมายเข้ามาใช้บริการที่แฮปปี้เบิร์ธคลินิกผ่านทุกช่องทางการติดต่อของเราค่ะ ทั้งเบอร์โทรศัพท์ 081-442-9355 (ตามเวลาทำการคลินิก) และเฟสบุ๊กเพจ happybirth กับหมอชะเอม คุณหมอของเรายินดีให้บริการคนไข้ทุกท่านด้วยความใส่ใจ พร้อมให้คำปรึกษาในเรื่องของการคุมกำเนิดอย่างถูกวิธีและปลอดภัยค่ะ
นัดไว้หน่อย... ไม่คอยนาน
นัดหมายมาตรวจภายใน หรือฝากครรภ์ที่คลินิกผ่านระบบจองออนไลน์
ง่าย สะดวก
นัดง่าย เลือกวันเวลาได้เอง เลื่อนสะดวก ทำได้เอง พร้อมยืนยันทันที
ไม่ลืมแน่นอน
ก่อนถึงวันนัดจะมีข้อความแจ้งเตือนทาง Facebook หรือ SMS
เป็นส่วนตัว
อาการเบื้องต้นเป็นอย่างไร
พิมพ์ไว้ให้คุณหมอเลย ไม่ต้องเขิน