top of page

คลินิกสูตินรีเวช ฝากครรภ์ ตรวจภายใน อัลตราซาวด์
บ้านก้ามปูอโศก   รามคำแหง 26/1   ลาดกระบัง 54

ค้นหา

ตกขาวสีเขียว มีกลิ่น คัน: สัญญาณเตือน 4 โรคที่ไม่ควรปล่อยไว้

  • รูปภาพนักเขียน: พญ. ฐิติพรรณ ชยวงศ์รุ่งเรือง (หมอชะเอม)
    พญ. ฐิติพรรณ ชยวงศ์รุ่งเรือง (หมอชะเอม)
  • 8 พ.ย.
  • ยาว 3 นาที

อัปเดตเมื่อ 19 ชั่วโมงที่ผ่านมา

บทความนี้ได้รับการตรวจสอบโดย พญ. ฐิติพรรณ ชยวงศ์รุ่งเรือง คุณหมอสูตินรีเวชประจำ happybirth clinic


ตกขาวสีเขียว มีกลิ่น คัน-สัญญาณเตือน 4 โรคที่ไม่ควรปล่อยไว้

โดยปกติ ตกขาวของสาวๆ จะเป็นสีใสหรือสีขาวขุ่น และแทบไม่มีกลิ่น แต่ถ้าวันไหนคุณสังเกตเห็นว่า "ตกขาวสีเขียว" หรือสีเขียวอมเหลือง แถมยังมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ (เช่น กลิ่นคาวปลา, กลิ่นปลาเค็ม) หรือมีอาการคัน แสบบริเวณจุดซ่อนเร้นร่วมด้วย...


ขอย้ำตรงนี้เลยค่ะว่า นี่คือสัญญาณที่ห้ามมองข้ามเด็ดขาด


อาการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องปกติ และไม่ใช่สิ่งที่จะหายไปเอง แต่เป็นสัญญาณอันตรายที่ร่างกายกำลังฟ้องว่าคุณอาจกำลังมีการติดเชื้อที่รุนแรง การปล่อยทิ้งไว้ ซื้อยามาใช้เองโดยไม่รู้สาเหตุ หรือคิดว่าเดี๋ยวก็หาย ไม่เพียงแต่จะไม่หายขาด แต่ยังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่อสุขภาพในระยะยาวได้


บทความนี้ happybirth clinic จะมาอธิบายให้ชัดเจนว่า อาการตกขาวสีเขียว มีกลิ่น และคัน เป็นสัญญาณเตือนของ 4 โรคอันตรายอะไรบ้าง และทำไมคุณถึงควรต้องรีบมาพบแพทย์ให้เร็วที่สุดค่ะ


ก่อนอื่น…มาทำเข้าใจ "สีของตกขาว" กันก่อน


เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่า ตกขาวสีเขียวน่ากังวลอย่างไร เราต้องรู้ก่อนว่าตกขาวปกติเป็นแบบไหน


ความจริงแล้ว ตกขาว (Leukorrhea, Leucorrhea หรือ Vaginal Discharge) เป็นเรื่องปกติของผู้หญิงค่ะ มันคือกลไกธรรมชาติของร่างกายในการทำความสะอาดช่องคลอด ขับเซลล์ที่ตายแล้ว และป้องกันการติดเชื้อ


ตกขาวที่ปกติควรมีลักษณะดังนี้

  • สี: ใส หรือขาวขุ่น (คล้ายน้ำนมหรือแป้งเปียกเล็กน้อย)

  • กลิ่น: ไม่มีกลิ่นเหม็น (อาจมีกลิ่นเปรี้ยวอ่อนๆ ได้ ซึ่งถือว่าปกติ)

  • อาการ: ไม่คัน ไม่แสบ


แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่สี กลิ่น หรือปริมาณเปลี่ยนไป โดยเฉพาะเมื่อมีอาการอื่นร่วมด้วย นั่นคือสัญญาณเตือนของความผิดปกติทันที ลองมาเช็กอาการตัวเองเทียบกับตารางนี้ดูค่ะ


ตกขาวแบบไหนควรไปหาหมอ


ต่อไปเราจะมาเจาะลึกถึง 4 โรคอันตรายหลักๆ ที่มักมาพร้อมกับตกขาวสีเขียวค่ะ


ตกขาวสีเขียวอันตรายไหม? 4 โรคอันตรายที่มักมาพร้อมกับตกขาวสีเขียว


อาการตกขาวสีเขียว ร่วมกับกลิ่นเหม็นและอาการคัน ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ ค่ะ แต่เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อที่ต้องได้รับการรักษาโดยแพทย์ ซึ่ง 4 สาเหตุหลักที่คุณหมอพบบ่อยที่สุด มีดังนี้


1. ภาวะช่องคลอดอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย และ/หรือเชื้อรา (Bacterial vaginosis, Candida vaginitis)


นี่คือหนึ่งในสาเหตุของกลิ่นที่พบบ่อยที่สุด หลายคนอาจสับสนระหว่างแบคทีเรียในช่องคลอด (Bacterial Vaginosis - BV) กับเชื้อรา แต่ความจริงแล้วแบคทีเรียในช่องคลอด (Bacterial Vaginosis - BV) เกี่ยวข้องกับกลิ่นคาวมากกว่า และในกรณีที่รุนแรง ก็สามารถทำให้ตกขาวเปลี่ยนเป็นสีเขียวได้


แบคทีเรียในช่องคลอด (Bacterial Vaginosis - BV) เกิดจากอะไร และอาการเป็นอย่างไร?


แบคทีเรียในช่องคลอด (Bacterial Vaginosis - BV) ไม่ใช่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI/STDs) โดยตรง แต่เกิดจากภาวะเสียสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด คือแบคทีเรียดี (Lactobacilli) ที่คอยคุมค่า pH ลดจำนวนลง และแบคทีเรียตัวร้ายที่ก่อโรค (เช่น Gardnerella vaginalis) เพิ่มจำนวนขึ้นมาแทนที่


ปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดแบคทีเรียในช่องคลอด (Bacterial Vaginosis - BV)

  • การสวนล้างช่องคลอด

  • การมีคู่นอนหลายคน หรือเปลี่ยนคู่นอนใหม่

  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหอมรุนแรงบริเวณจุดซ่อนเร้น

  • การสูบบุหรี่


อาการคลาสสิกของแบคทีเรียในช่องคลอด (Bacterial Vaginosis - BV) คือ:

  • กลิ่นคาวปลาเค็ม ซึ่งมักจะรุนแรงขึ้นหลังมีเพศสัมพันธ์ หรือช่วงมีประจำเดือน

  • ตกขาวมีสีขาวเทา หรือเหลืองอ่อน เคลือบช่องคลอด

  • กรณีรุนแรง: หากมีการติดเชื้อรุนแรง หรือมีเชื้ออื่นปนเปื้อน ตกขาวอาจเปลี่ยนเป็น สีเขียวอมเหลือง และมีกลิ่นเหม็นเน่าได้

  • อาการคัน: อาจมีอาการคันหรือระคายเคืองบ้าง แต่ไม่คันรุนแรงเท่าเชื้อรา


แบคทีเรียในช่องคลอด (Bacterial Vaginosis - BV) หายเองได้ไหม และวิธีรักษาล่ะ?


คำถามนี้สำคัญมากค่ะ ข้อมูลทางการแพทย์ระบุว่าแบคทีเรียในช่องคลอด (Bacterial Vaginosis - BV) อาจหายเองได้ในบางกรณี แต่ไม่ควรปล่อยไว้เด็ดขาด


ทำไมถึงไม่ควรปล่อยไว้? เพราะการรอให้หายเองคือการเสี่ยงต่อผลกระทบ และภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง (ซึ่งจะพูดในข้อถัดๆ ไป)


วิธีรักษามาตรฐานคือการใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Antibiotics) เพื่อฆ่าเชื้อตัวร้ายและปรับสมดุลแบคทีเรีย

  • ยาอะไร? แพทย์มักสั่งยา (มีทั้งแบบกิน แบบครีม หรือแบบเจลสอดช่องคลอด) ซึ่งยาที่เป็นประเภทกินจะเป็นยาปฏิชีวนะ จึงควรปรึกษาแพทย์เสมอก่อนทานนะคะ เพราะการทานเองโดยไม่ทราบสาเหตุที่เแท้จริง อาจเป็นสาเหตุของการดื้อยาในอนาคตได้ค่ะ 

  • รักษากี่วันหาย? อาการมักดีขึ้นใน 2-3 วัน แต่ต้องใช้ยาให้ครบคอร์ส 7 วัน เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งแบคทีเรียในช่องคลอด (Bacterial Vaginosis - BV) เป็นภาวะที่กลับมาเป็นซ้ำได้ง่ายมาก หากยังมีปัจจัยเสี่ยงอยู่


ผลกระทบหากปล่อยไว้ และวิธีป้องกัน


นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณไม่ควรรอให้แบคทีเรียในช่องคลอด (Bacterial Vaginosis - BV) หายเอง และนี่คือผลกระทบและความอันตรายหากปล่อยไว้ ได้แก่:


  • เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ STI หรือเป็น STDs: ภาวะช่องคลอดที่เสียสมดุลจะอ่อนแอลงมาก ทำให้คุณเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV, หนองในแท้, หนองในเทียม และเริมได้ง่ายขึ้นหลายเท่า

  • เสี่ยงต่อภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID): เชื้อสามารถลุกลามขึ้นไป ทำให้เกิด PID ซึ่งนำไปสู่การมีบุตรยากได้

  • อันตรายต่อคนท้อง: หากเป็นแบคทีเรียในช่องคลอดขณะตั้งครรภ์ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการคลอดก่อนกำหนด หรือทารกน้ำหนักตัวน้อย


วิธีป้องกันคือ การหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่ทำลายแบคทีเรียดี เช่น งดการสวนล้างช่องคลอด, หลีกเลี่ยงสบู่และน้ำยาที่รุนแรง, ไม่สูบบุหรี่ และใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ค่ะ


แล้วเชื้อราในช่องคลอด (Candida Vaginitis) ล่ะ?


นี่คือคำถามที่คุณหมอเจอบ่อยมากค่ะ พอสาวๆ มีอาการคันและตกขาวผิดปกติ ก็มักจะคิดไปก่อนเลยว่าเป็นเชื้อรา แล้วก็ไปซื้อยาฆ่าเชื้อรามาทานหรือสอดเอง


ภาวะช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา (Candida Vaginitis) คือภาวะที่เกิดจากการเจริญเติบโตที่ มากเกินไป ของเชื้อราแคนดิดา (Candida) ในช่องคลอดค่ะ ภาวะนี้เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยมากๆ (ผู้หญิงหลายคนเป็นอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต) และมักเกิดจากการเสียสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอดจากปัจจัยต่างๆ


ทีนี้... มาถึงจุดที่คนเข้าใจผิดกันมากที่สุด


หลายคนเชื่อว่าเชื้อราต้องมีตกขาวสีขาวเป็นก้อน (คล้ายนมบูด) เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงที่คุณหมอพบในห้องตรวจ ตกขาวจากเชื้อราสามารถมีได้หลายสีค่ะ ตั้งแต่สีขาว, ขาวเหลือง และสีเขียวก็พบได้บ่อยเช่นกัน


อาการคลาสสิกของเชื้อรา ที่คุณควรทราบคือ

  • ตกขาว: จะมีสีขาวข้น ลักษณะเป็นก้อนคล้ายนมเปรี้ยว หรือนมบูด

  • กลิ่น: ไม่มีกลิ่นเหม็นคาว (อาจมีกลิ่นอับๆ คล้ายขนมปังหรือยีสต์ได้บ้าง แต่จะไม่เหม็นคาวปลาเหมือนแบคทีเรียในช่องคลอด)

  • อาการเด่น: คันมาก คันยิบๆ แบบทนไม่ไหว บริเวณปากช่องคลอดอาจจะบวมแดง แสบร้อน และอาจ เจ็บปวดขณะมีเพศสัมพันธ์หรือปัสสาวะ


จุดอันตรายคือตรงนี้ค่ะ


ถ้าคุณมีตกขาวสีเขียว (ซึ่งบ่งชี้ถึงพยาธิหรือแบคทีเรีย) แต่คุณกลับไปซื้อยาฆ่าเชื้อรามาใช้ มันจะไม่หายค่ะ


เพราะคุณกำลังรักษาผิดโรคอย่างสิ้นเชิง การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะเสียเงินและเวลาเปล่า แต่ยังเป็นการปล่อยให้เชื้อที่แท้จริง (เช่น เชื้อพยาธิ หรือเชื้อหนองใน) ลุกลามและรุนแรงขึ้นโดยไม่ถูกรักษา


นี่คือเหตุผลสำคัญที่สุดว่าทำไมเมื่อเห็นตกขาวสีเขียว คุณจึงไม่ควรซื้อยาใช้เอง และต้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้ชัดเจนเท่านั้นค่ะ


2. โรคหนองใน (Gonorrhea) และ หนองในเทียม (Chlamydia)


นี่คือกลุ่มโรค STI/STDs ที่น่ากังวลที่สุดกลุ่มหนึ่ง เพราะเป็นการติดเชื้อที่มักไม่แสดงอาการ แต่เป็นสาเหตุโดยตรงของตกขาวสีเขียวข้นและภาวะแทรกซ้อนรุนแรงค่ะ


สาเหตุและอาการ (เกิดจากอะไร? ต่างกันยังไง?)


โรคหนองใน แบ่งได้เป็น 2 ชนิดหลักๆ ที่ควรรู้จักค่ะ:

  1. โรคหนองในแท้ (Gonorrhea): เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ติดต่อได้ง่าย (ทางช่องคลอด, ปาก, หรือทวารหนัก)

  2. โรคหนองในเทียม (Chlamydia): เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis (หรือเชื้ออื่นๆ) ซึ่งจะทำให้เกิดอาการที่คล้ายกับหนองในแท้ แต่มักจะไม่รุนแรงเท่า และอาจมาในลักษณะของอาการเรื้อรังแทน


ความน่ากังวลที่สุดคือ ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ติดเชื้อ (โดยเฉพาะหนองในเทียม) มักจะไม่มีอาการใดๆ เลย ทำให้ไม่รู้ตัว ไม่ได้รักษา และสามารถแพร่เชื้อต่อให้คู่นอนได้โดยไม่ตั้งใจ


หลังจากที่ได้รับเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ไปแล้ว จะมีระยะฟักตัวประมาณ 1-10 วันค่ะ สิ่งที่สังเกตได้คือ

  • มีของเหลวออากมาจากช่องคลอดคล้ายกับตกขาว

  • ตกขาวผิดปกติ โดยอาจมีสีเหลือง สีขาว มีกลิ่นเหม็น หรือปริมาณมากกว่าปกติ

  • ประจำเดือนมาไม่ปกติ

  • รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สบายตัว และปวดท้อง

  • ปัสสาวะแสบขัด

  • เจ็บอุ้งเชิงกรานขณะมีเพศสัมพันธ์

  • หากมีการติดเชื้อที่ทวารหนัก จะทำให้เกิดอาการปวดหน่วง ๆ บริเวณทวารหนัก หรือมีน้ำสีเหลืองคล้ายหนองออกมาจากทางทวารหนักได้


หายเองได้ไหม? วิธีรักษาล่ะ? และทำไมไม่ควรซื้อยากินเอง?


โรคหนองในไม่สามารถหายเองได้ค่ะ นี่คือการติดเชื้อแบคทีเรียที่ต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาโดยสูตินรีแพทย์เท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่างอุ้งเชิงกรานอักเสบ ภาวะมีบุตรยาก หรือเสี่ยงในการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ค่ะ


  • วิธีวินิจฉัย: คุณหมอจะเก็บตัวอย่าง (เช่น ปัสสาวะ หรือ ตกขาว) ไปส่งเพาะเชื้อ เพื่อยืนยันว่าเป็นเชื้อชนิดใดกันแน่

  • วิธีรักษา: เมื่อยืนยันเชื้อแล้ว แพทย์จะรักษาด้วยยาปฏิชีวนะขนาดสูง ซึ่งมักจะมีทั้งยาฉีด และยารับประทานเพื่อฆ่าเชื้อให้ตรงจุด

  • ข้อควรระวัง: ห้ามซื้อยาปฏิชีวนะมารับประทานด้วยตัวเองเด็ดขาด เพราะคุณไม่มีทางรู้ว่าเป็นเชื้อตัวไหน การซื้อยาผิดๆ ถูกๆ จะเสี่ยงต่อการดื้อยา และทำให้การรักษาในอนาคตยากขึ้นมากค่ะ

  • รักษากี่วันหาย? ต้องใช้ยาให้ครบคอร์ส (เช่น 7 วัน) จากนั้นแพทย์จะนัดกลับมาตรวจซ้ำ เพื่อให้มั่นใจจริงๆ ว่าเชื้อหายขาดแล้ว ถ้าไม่ให้หาย หรือมีอาการดื้อยาก็จะต้องทำการรักษาต่อค่ะ


ผลกระทบ และความอันตรายหากปล่อยไว้ ไม่รักษา


นี่คือเหตุผลว่าทำไมคุณหมอถึงเป็นห่วงโรคนี้มาก...เพราะอาการหนองในผู้หญิง จะไม่สามารถสังเกตได้ชัดเจน แต่ก็ควรรีบไปรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไว้ จะทำให้เชื้อลุกลามไปจนถึงมดลูกและท่อทางเดินรังไข่ แล้วทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอย่าง อุ้งเชิงกรานอักเสบ ปวดท้องเรื้อรัง ภาวะมีบุตรยาก หรือเพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้ค่ะ


ตกขาวสีเขียวควรไปหาหมอ

3. ปากมดลูกอักเสบ หรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ (Cervicitis หรือ Pelvic Inflammatory Disease หรือ PID)


นี่คือภาวะที่อันตรายและน่ากังวลที่สุดใน 4 ข้อนี้ เพราะเป็นสัญญาณของการติดเชื้อภายในร่างกาย ที่ลุกลามเกินกว่าแค่ในช่องคลอดแล้ว


ปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis) และ อุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) ต่างกันอย่างไร?


ก่อนอื่น เราต้องเข้าใจว่าสองภาวะนี้เชื่อมโยงกัน แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกันค่ะ


ปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis) คือจุดเริ่มต้น หรือด่านแรกของการติดเชื้อค่ะ มันคือภาวะที่ปากมดลูก (ซึ่งเป็นประตูกั้นระหว่างช่องคลอดและมดลูก) เกิดการอักเสบติดเชื้ออย่างรุนแรง สาเหตุมักเกิดจากการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI/STDs) ตัวร้ายแรงอย่างหนองในแท้ หรือหนองในเทียม


ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID - Pelvic Inflammatory Disease) คือภาวะแทรกซ้อน หรือขั้นที่ลุกลามแล้ว ค่ะ มันเกิดขึ้นเมื่อเชื้อโรคจากปากมดลูก (Cervicitis) ที่ไม่ได้รับการรักษา เดินทางลุกลามขึ้นไปสู่ระบบสืบพันธุ์ส่วนบน ได้แก่ โพรงมดลูก, ท่อนำไข่, และรังไข่


พูดให้เห็นภาพง่ายๆ ก็คือปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis) คือการติดเชื้อที่ประตู แต่ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ PID คือการติดเชื้อที่ลุกลามเข้าไปทั่วทั้งบ้าน (มดลูก, ท่อนำไข่) แล้ว


ดังนั้น ตกขาวสีเขียวหรือสีเหลืองข้นคล้ายหนองที่เราเห็น จึงมักเป็นสัญญาณของปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis) ที่รุนแรง ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ

(PID) หรืออาจจะเริ่มเป็นภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) แล้วนั่นเองค่ะ


อาการและจุดสังเกตสำคัญ ของภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ


ในขณะที่ปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis) อาจทำให้มีตกขาวเป็นหนองอย่างเดียว แต่เมื่อเชื้อลุกลามกลายเป็นภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) แล้ว อาการสำคัญที่มักพบร่วมด้วย (และต่างจาก 2 โรคแรกอย่างชัดเจน) คือ

  • ปวดท้องน้อย

  • ปัสสาวะแสบขัดอย่างรุนแรง

  • เจ็บลึกๆ ในอุ้งเชิงกรานขณะมีเพศสัมพันธ์

  • อาจมีเลือดออกผิดปกติกะปริดกะปรอย (ที่ไม่ใช่รอบเดือน)

  • อาจมีไข้ หนาวสั่น (ซึ่งเป็นสัญญาณว่าเชื้อลุกลามไปไกลแล้ว)


ปากมดลูกอักเสบ หรืออุ้งเชิงกรานอักเสบหายเองได้ไหม และวิธีรักษาล่ะ?


ภาวะนี้ไม่หายเองเด็ดขาด และต้องรีบรักษาทันทีค่ะ


แต่เดี๋ยวก่อน...คำว่ารีบรักษาทันที ไม่ได้หมายความว่ามันน่ากลัวจนสายเกินแก้นะคะ อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ มันหมายถึงยิ่งรู้เร็วยิ่งดี เพื่อหยุดเชื้อไม่ให้ลุกลาม การรักษาไม่ได้ซับซ้อนเลยค่ะ แต่ต้องให้สูตินรีแพทย์เป็นผู้วินิจฉัย


เพราะนี่คือการติดเชื้อแบคทีเรียรุนแรงที่ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อที่ตรงกับเชื้อนั้นๆ วิธีรักษามักจะต้องใช้ยาที่แรงกว่า 2 โรคแรก เช่น การฉีดยาฆ่าเชื้อ (สำหรับเชื้อหนองใน) ร่วมกับยารับประทาน (สำหรับเชื้อหนองในเทียม) และต้องใช้ยาให้ครบคอร์ส


และเนื่องจากเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI/STDs) ที่รุนแรง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรักษาคู่ของคุณด้วยเสมอ แม้เขาจะไม่มีอาการก็ตาม เพื่อป้องกันการกลับมาติดเชื้อซ้ำค่ะ


ผลกระทบ และความอันตรายหากปล่อยทิ้งไว้


นี่คือจุดที่อันตรายที่สุดค่ะ หากคุณปล่อยให้ปากมดลูกอักเสบ (Cervicitis) โดยไม่รักษา จนเชื้อลุกลามกลายเป็นภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID)


อาจเกิดผลกระทบระยะยาวจาก PID ที่ร้ายแรงและอาจถาวร แม้จะรักษาทีหลังก็ตาม

  • ภาวะมีบุตรยาก: นี่คือผลกระทบที่พบบ่อยที่สุด เมื่อท่อนำไข่อักเสบ ร่างกายจะสร้างพังผืดขึ้นมา ทำให้ท่อนำไข่อุดตัน อสุจิจึงไม่สามารถไปเจอกับไข่ได้

  • การตั้งครรภ์นอกมดลูก: หากท่อนำไข่ไม่ตันสนิท แต่ตีบแคบจากพังผืด ตัวอ่อนอาจเคลื่อนที่ไปฝังตัวในมดลูกไม่ได้ และไปฝังตัวที่ท่อนำไข่แทน ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน อันตรายถึงชีวิต

  • อาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง: เกิดจากพังผืดที่ดึงรั้งอวัยวะภายใน ทำให้ปวดท้องน้อยตลอดเวลา


4. โรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis)


นี่คือผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง เมื่อพบตกขาวสีเขียวค่ะ


สาเหตุและอาการของโรคพยาธิในช่องคลอด


สาเหตุเกิดจากเชื้อโปรโตซัวชื่อ Trichomonas vaginalis ซึ่งจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI/STDs) ที่พบได้บ่อยที่สุดชนิดหนึ่ง


อาการที่สังเกตได้ชัดเจนคือ

  • ตกขาวมีสีเขียว หรือเขียวอมเหลือง

  • ตกขาวมักมีลักษณะเป็นฟอง

  • กลิ่นเหม็นคาวรุนแรง (บางคนเรียกว่ากลิ่นปลาเน่า กลิ่นปลาเค็ม)

  • คัน แสบ บริเวณจุดซ่อนเร้นอย่างมาก

  • ปัสสาวะแสบขัด หรือเจ็บลึกๆ ขณะมีเพศสัมพันธ์

  • เมื่อตรวจภายในโดยแพทย์ อาจพบจุดแดงๆ ที่ปากมดลูก


โรคพยาธิในช่องคลอดหายเองได้ไหม? และวิธีรักษาล่ะ?


คำตอบที่ชัดเจนที่สุดคือ ไม่หายเองค่ะ


แต่อย่าเพิ่งกังวลใจไปนะคะ ข่าวดีก็คือ โรคนี้เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ง่ายมาก หากตรวจพบและใช้ยาได้ตรงจุด


นี่คือการติดเชื้อที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยยาฆ่าเชื้อเฉพาะทาง วิธีรักษามาตรฐานคือการรับประทาน ยาฆ่าเชื้อโปรโตซัว (เช่น Metronidazole หรือ Tinidazole) ซึ่งต้องสั่งโดยแพทย์เท่านั้น การปล่อยทิ้งไว้หรือไปซื้อยาฆ่าเชื้อรามาใช้เอง (ซึ่งรักษาคนละโรค) จะทำให้อาการไม่หายขาดและอาจดื้อยา


  • รักษากี่วันหาย? โดยทั่วไปหลังได้รับยาที่ถูกต้อง อาการคันและกลิ่นจะดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายใน 2-3 วัน และหายขาดภายใน 7-10 วัน

  • เนื่องจากเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงจำเป็นต้องรักษาทั้งคุณและคู่ของคุณพร้อมกัน แม้ว่าฝ่ายชายมักจะไม่แสดงอาการก็ตาม เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำไปซ้ำมา


ผลกระทบของโรคพยาธิในช่องคลอด และวิธีป้องกัน


หากไม่รักษาจะรุนแรงกว่าแค่กลิ่นและอาการคันค่ะ เพราะเชื้อนี้จะเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV และอาจลุกลามทำให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) ได้


วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย (เช่น การสวมถุงยางอนามัย) และการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำเมื่อมีความเสี่ยง


สัญญาณ 4 โรคอันตรายเมื่อมีอาการตกขาวสีเขียว

อ่านมาถึงตรงนี้ สาวๆ คงเห็นแล้วนะคะว่า ทั้ง 4 โรคมีอาการที่คล้ายกัน (ตกขาวเขียว, มีกลิ่น, คัน) แต่กลับใช้ยาคนละกลุ่มโดยสิ้นเชิง และผลกระทบหากปล่อยไว้ก็รุนแรงเกินกว่าที่เราจะเสี่ยงเดาสุ่มซื้อยาใช้เองจริงๆ


แต่อย่าเพิ่งกังวลใจค่ะ เพราะโรคติดเชื้อที่อันตรายเหล่านี้ รักษาให้หายขาดได้ ถ้าเราตรวจพบเร็วและรักษาให้ตรงจุดก่อนที่มันจะลุกลาม


happybirth คลินิกสูตินรีเวชตรวจรักษาตกขาวสีเขียว

ค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของตกขาวสีเขียว ด้วยแพ็กเกจตรวจตกขาวที่ happybirth clinic


เราเข้าใจความกังวลของสาวๆ ดีค่ะ และอย่างที่เราย้ำไปว่า การเดาสุ่มรักษาเองคือสิ่งที่อันตรายที่สุด (เช่น มีอาการคัน... แต่ไม่รู้ว่าคันจากเชื้อรา, แบคทีเรีย, หรือพยาธิ ซึ่งใช้ยาคนละตัวโดยสิ้นเชิง)


ที่ happybirth clinic เรามีเป้าหมายสูงสุดคือ "จบปัญหาที่สาเหตุ" เพื่อคืนความมั่นใจให้คุณ เราจึงออกแบบแพ็กเกจตรวจตกขาวมาเพื่อตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ นั่นคือการหยุดเดา และหาเชื้อตัวจริงให้เจอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาให้หายขาด ลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ และที่สำคัญคือคืนความมั่นใจกลับมาค่ะ


ตรวจตกขาวราคา 4,900 บาท คลินิกสูตินรีเวช happybirth

จุดเด่นของแพ็กเกจตรวจตกขาวที่แฮปปี้เบิร์ธคลินิก / คลินิกสูตินรีเวชแฮปปี้เบิร์ธ

  • สบายใจ: ตรวจและปรึกษากับสูตินรีแพทย์หญิง (คุณหมอผู้หญิง) ที่เข้าใจคุณ

  • ตรงจุด: เราจะทำการตรวจภายในเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริง (เชื้อรา, แบคทีเรีย, พยาธิ ฯลฯ)

  • รักษาถูกทาง: เมื่อรู้เชื้อที่แน่นอน คุณหมอจะสามารถวางแผนการรักษาที่ตรงกับเชื้อได้ ไม่ต้องเสียเวลารักษาแบบเดาสุ่มอีกต่อไป

  • สะดวก: เรามีบริการรับผลตรวจทางไลน์ พร้อมนัดปรึกษาผลกับคุณหมอได้เลย


ขั้นตอนทั้งหมดนี้ง่ายกว่าที่คิด และเน้นการ "หาที่ต้นเหตุ" เพื่อให้คุณรักษาได้หายขาดจริงๆ ค่ะ


หากมีความกังวลใจหรือคำถามเพิ่มเติม สามารถนัดมาปรึกษาตรวจได้ที่คลินิกสูตินรีเวชแฮปปี้เบิร์ธ

เปิดให้บริการทุกวัน แนะนำให้เช็กคิวทางไลน์ @happybirth ก่อนนะคะ 🥰


สรุป


มาถึงตรงนี้ คุณคงเห็นแล้วว่าตกขาวสีเขียว ร่วมกับกลิ่นเหม็น และอาการคัน ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่รอให้หายเองได้เลย นี่คือสัญญาณเตือนภัยที่ชัดเจนที่สุดจากร่างกาย ว่าระบบภายในของคุณกำลังต่อสู้กับการติดเชื้อที่อาจอันตราย


การปล่อยทิ้งไว้แม้แต่วันเดียว คือการเพิ่มความเสี่ยงให้เชื้อโรคลุกลาม จนอาจก่อให้เกิดภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID), ภาวะมีบุตรยาก หรือแม้กระทั่งการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งเป็นผลกระทบที่อาจเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณไปตลอดกาลค่ะ


อย่าปล่อยให้ความกลัวหรือความลังเล มาทำลายสุขภาพของคุณในระยะยาวเลยนะคะ

 
 
bottom of page